บทความจังหวัดบึงกาฬ


เที่ยวบึงกาฬ" จังหวัดน่าเที่ยวของภาคอีสาน


"เที่ยวบึงกาฬ" จังหวัดน่าเที่ยวของภาคอีสาน เรียนรู้วิถีชุมชน เพลิดเพลินกับธรรมชาติสวย

รายละเอียดเนื้อหา


สถานที่เที่ยวบึงกาฬทางธรรมชาติ และแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรม เรียนรู้วิถีชุมชน เพลิดเพลินกับธรรมชาติสวย  ....จ.บึงกาฬ เป็นจังหวัดที่น่าไป น่าเที่ยว อีกหนึ่งจังหวัดของภาคอีสาน บอกเลยว่าที่บึงกาฬมีที่เที่ยวเด็ด ๆ ให้คุณไปเช็กอินเพียบ ..ไปชมที่เที่ยวบึงกาฬเด็ด ๆ 

1. ถ้ำนาคา

ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา อำเภบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ และอยู่ใกล้กับวัดถ้ำชัยมงคล การขึ้นไปเที่ยวถ้ำต้องเดินขึ้นบันไดสูงชันที่ทางอุทยานฯ จัดสร้างขึ้นไปกว่า 1,400 ขั้น ใช้เวลาเดินราว 1-1.30 ชั่วโมง ..เหตุที่ถ้ำแห่งนี้ได้ชื่อว่า “ถ้ำนาคา” หรือ “ถ้ำพญานาค” เนื่องจากมีของหินและผนังถ้ำดูคล้ายพญานาค ที่มีรูปทรงคล้ายพญานาคหรืองูขนาดใหญ่นอนขดตัว โดยมีส่วนสำคัญ ๆ ทั้งส่วนหัว ลำตัว และเกล็ดพญานาค (ตามจินตนาการและความเชื่อของชาวบ้าน)

2. น้ำตกตาดวิมานทิพย์

ตั้งอยู่ ณ อุทยานแห่งชาติภูลังกา อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เป็นน้ำตกที่ยังคงเก็บรักษาความเป็นธรรมชาติไว้เป็นอย่างดี เพราะเป็นน้ำตกที่ค่อนข้างยากแก่การเข้าถึง เส้นทางเดินค่อนข้างลำบาก เป็นทางปีนเขา ปีนป่ายโขดหิน ปีนรากไม้ขึ้นสวนทางน้ำตกบ้าง และอ้อมขึ้นในป่าบ้างสลับกันไป แต่ก็ไม่ได้ยากมากที่จะไป แนะนำว่าต้องฟิตร่างกายนิดหน่อย ใส่ชุดใส่รองเท้าหุ้มส้น มีกันลื่นด้วยจะช่วยได้เยอะ และที่สำคัญต้องมีคนนำทาง น้ำตกตาดวิมานทิพย์จะมีความสวยงามแตกต่างกันในแต่ละชั้น แต่จะมีน้ำแค่เพียงช่วงหน้าฝน ที่มีฝนตกติดต่อกัน เรียกได้ว่าต้องรอคอยเวลาที่เหมาะสมจริงๆ เมื่อเราไปถึงแล้ว รับรองว่าหายเหนื่อยเลยล่ะครับ มันยอดเยี่ยมมาก คุ้มค่ากับการเดินทาง

3. หินสามวาฬ (ภูสิงห์)

ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง แยกตัวเป็น 3 ก้อน มีอายุประมาณ 75 ล้านปี หนึ่งเดียวของโลก เมื่อมองดูจากระยะไกล หินสามก้อนนี้จะดูคล้ายกับฝูงครอบครัววาฬ ที่ประกอบด้วยพ่อวาฬ แม่วาฬ และลูกวาฬ ซึ่งเรียกตามขนาดของหินแต่ละก้อน ทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดในภูสิงห์ มองเห็นผืนป่า ทัศนียภาพของป่าภูวัว ห้วยบังบาตร แก่งสะดอก หาดทรายแม่น้ำโขงและภูเขาเมืองปากกระดิง ประเทศลาว สวยงามเกินคำบรรยาย

4. น้ำตกถ้ำพระ

ตั้งอยู่บ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ตัวน้ำตกถ้ำพระแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก ๆ ได้แก่ ช่วงแรกจะเป็นธารน้ำตกไหลลดหลั่นลงสู่แอ่งน้ำกว้าง (นักท่องเที่ยวคนไหนจะเล่นน้ำตรงส่วนนี้ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะน้ำจัดได้ว่าค่อนข้างลึกพอสมควร) ถัดมาช่วงกลางของน้ำตก มีพื้นที่ขนาดใหญ่กินพื้นที่ยาวไปจนถึงฝายทดน้ำ น้ำค่อนข้างตื้น และส่วนสุดท้ายเป็นบริเวณเหนือฝายขึ้นไป จุดนี้ถือเป็นไฮไลท์เด็ดของน้ำตก เพราะคุณจะได้เห็นน้ำตกกว้างสีขาวลอยฟูฟ่อง ซึ่งเป็นต้นธารที่ไหลลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง จุดนี้จะเห็นนักท่องเที่ยวที่ทั้งขึ้นมาชมน้ำตก และลงเล่นน้ำกันเป็นจำนวนมาก

5. ผาสบเป็ด

หน้าผาด้านทิศตะวันตก ฝั่ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ สามารถเดินขึ้นทางบันไดเหล็กที่วัดถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ จะเห็นบรรยากาศแบบนี้ได้ในฤดูฝน เพราะที่นี่หลังจากฝนตกแล้ว จะมีหมอกไอน้ำลอยขึ้นมา แต่ถ้าในฤดูหนาว เมฆจะเป็นลักษณะลอยเป็นแผ่น แต่น้อยที่จะเจอโอกาสแบบนั้น

6. ภูทอก เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) อยู่ในอาณาเขต บ้านนาคำแคน ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ บริเวณโดยรอบภูทอกล้อมรอบด้วยทัศนียภาพที่สวยงามและเงียบสงบ และมีสะพานไม้สร้างวนขึ้นไปสู่ยอดเขารวมทั้งหมด 7 ชั้น เพื่อเป็นทางเดินขึ้นไปยังกุฏิและถ้ำที่อยู่ตามหลืบผา จากด้านบนนักท่องเที่ยวจะมองเห็นความสวยงามของภูมิประเทศเบื้องล่างได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ยิ่งถ้าในวันที่อากาศแจ่มใส อาจมองได้ไกลถึงเทือกเขาในเขตจังหวัดนครพนมเลยด้วย คำว่า “ทอก” ในภาษาอีสาน แปลว่า งอกขึ้นมาแบบเดี่ยวๆ ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ภูทอก” ประกอบด้วย ภูทอกใหญ่และภูทอกน้อย เดิมบริเวณนี้เป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก จนกระทั่งพระอาจารย์จวน กุลเฎโฐ ได้เข้ามาบุกเบิกเป็นสถานปฏิบัติธรรม ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ พระอาจารย์จวนเริ่มสร้างบันไดไม้และสะพานไม้ เพื่อให้ประชาชนที่ต้องการท่องเที่ยวและแสวงธรรมเดินทางขึ้นภูทอกสะดวกขึ้น ซึ่งสร้างทั้งหมด ๗ ชั้น ใช้เวลาในการสร้าง ๕ ปีเต็ม โดยบันไดชั้นที่ ๑ - ๒ เป็นบันไดทอดขึ้นสู่ภูทอก ชั้นที่ ๓ เริ่มเป็นสะพานไม้เวียนรอบเขา ผ่านป่ามืดครึ้ม มีโขดหินและลานหิน เมื่อสุดทางแยกของสะพานไม้ชั้น ๓ จะพบทางแยกสองทาง โดยทางซ้ายเป็นทางลัดขึ้นสู่ชั้นที่ ๕ แต่ลักษณะทางขึ้นไปนั้นมีความชันมากและต้องเดินผ่านซอกหินที่มีลักษณะคล้ายอุโมงค์ ส่วนทางขวามือเป็นทางขึ้นชั้นที่ ๔ เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา เมื่อถึงบริเวณนี้สามารถมองเห็น “ดงชมพู” ลักษณะเป็นเนินเขาลูกเตี้ยสลับกัน ทิศตะวันตกของดงชมพูติดกับภูลังกา อำเภอเซกา มีสภาพเป็นป่าดิบ มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านและสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก โดยเฉพาะฝูงกา จึงเรียกว่า “ภูรังกา” แล้วออกเสียงเพี้ยนเป็น “ภูลังกา” ในปัจจุบัน เมื่อเดินทางถึงชั้นที่ ๔ ชั้นนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและที่พำนักของแม่ชี มีระยะทางโดยรอบชั้นประมาณ ๔๐๐ เมตร มีสถานที่พักผ่อนระหว่างทางเป็นระยะ ชั้นที่ ๕ หรือ ชั้นกลาง เป็นที่ตั้งศาลากลาง กุฏิพระสงฆ์ และสถานที่เก็บศพพระอาจารย์จวน กุลเฎโฐ บริเวณทางเดินมีถ้ำอยู่หลายถ้ำ อาทิ ถ้ำเหล็กไหล ถ้ำแก้ว เป็นต้น ชั้นที่ ๖ มีลานกว้างสามารถพักระหว่างเดินทางได้ มีหน้าผาต่างๆ เช่น หน้าผาเทพนิมิต ผาหัวช้าง หากเดินทางไปทิศเหนือ สามารถเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่ “พุทธวิหาร”เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และแนวภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน สะพานไม้เวียนรอบเขาสิ้นสุดอยู่ที่ชั้นที่ ๖ เมื่อขึ้นสู่ชั้นที่ ๗ เป็นบันไดไม้ บริเวณชั้นที่ ๗ นี้เป็นป่าไม้ที่ความร่มเย็น


Scroll to Top